Categories
- ความรู้ (42)
- เทคโน (19)
- ปรากฎการณ์ธรรมชาติ (20)
- วันนี้ในอดีต (58)
- วิทยาศาสตร์ (19)
- สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (1)
- ห้องทดลอง (1)
- อวกาศ (5)
- UFO (1)
ผู้ติดตาม
About Me
- Gang of 4wd
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
115 ปี “เอ็กซเรย์” จากดูกระดูกถึงดูดาว
17:27 |
เขียนโดย
Gang of 4wd |
แก้ไขบทความ
|
|
เมื่อวันที่ 8 พ.ย.1985 วิลเฮห์ม คอนราด เรินท์เกน (Wilhelm Conrad Roentgen) นักฟิสิกส์เยอรมันพบรังสีเอกซ์โดยบังเอิญระหว่างทำการทดลองให้ประจุวิ่งผ่าน ท่อสุญญากาศ ซึ่งเขาได้พบการเรืองแสงที่แปลกประหลาด และเขาเรียกการเรืองแสงประหลาดนั้นว่า “รังสีเอกซ์” (X ray) ที่สื่อถึงการแผ่รังสีอันลึกลับ อีกทั้งเขาได้ใช้รังสีที่ไม่รู้จักนี้ บันทึกภาพมือของภรรยาเขาเอง ภาพนั้นเผยให้โครงกระดูกของมือ และหัวแหวนทึบๆ ที่นิ้วนาง
ทั้งนี้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ายิ่งมีความยาวคลื่นสั้นยิ่งมีระดับพลังงานสูง ดังนั้น รังสีเอกซ์ซึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 0.01-10 นาโนเมตร จึงมีระดับพลังงานสูงกว่าคลื่นอัลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นประมาณ 10-400 นาโนเมตร
หลังการค้นพบครั้งนั้น รังสีเอกซ์ถูกนำไปใช้ในวงการแพทย์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการวินิจฉัยกระดูกและฟันที่เราคุ้นเคยกันดี ทว่ารังสีที่ไม่ลึกลับอีกต่อไปนี้ ยังมีคุณประโยชน์ต่อวงการดาราศาสตร์ไม่น้อย ซึ่งข้อมูลจากองค์การบริหารการบินอวกาศ (นาซา) ระบุว่า มีวัตถุอวกาศหลายอย่างที่ปลดปล่อยรังสีเอกซ์ ในจำนวนเหล่านั้นมีหลุมดำ ดาวนิวตรอน ระบบดาวคู่ เศษซากซูเปอร์โนวา ดวงดาว ดวงอาทิตย์ หรือแม้กระทั่งดาวหาง
ชั้นบรรยากาศโลกระดับสูงๆ มีการเรืองแสงของรังสีเอกซ์ของแสงออโรรา ซึ่งเกิดจากอนุภาคมีประจุที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์ทำอันตรกริยากับชั้นบรรยากาศ โลก และเนื่องจากรังสีเอกซ์ไม่อาจทะลุทะลวงชั้นบรรยากาศหนาๆ ของโลกลงมายังพื้นดินได้ นักดาราศาสตร์จึงต้องส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศซึ่งติดตั้งอุปกรณ์ที่สามารถ ตรวจจับรังสีเอกซ์ได้ ออกไปนอกโลกเพื่อศึกษาดาราศาสตร์
ครั้งแรกที่โลกถูกบันทึกภาพในย่านรังสีเอกซ์คือเมื่อเดือน มี.ค.1996 โดยดาวเทียมโพลาร์ (Polar) ซึ่งในภาพนั้น แสดงให้เห็นบริเวณที่ปลดปล่อยรังสีเอกซ์เข้มสุดด้วยสีแดง ทั้งนี้ อนุภาคมีประจุจากดวงอาทิตย์ซึ่งทำให้เกิดออโรรานั้น ยังกระตุ้นอิเล็กตรอนในสนามแม่เหล็กโลกด้วย อิเล็กตรอนเหล่านี้จะเคลื่อนไปตามสนามแม่เหล็กโลกและบางครั้งจะปะทะเข้ากับ ชั้นไอโอโนสเฟียร์ของโลกแล้วปลดปล่อยรังสีเอกซ์ออกมา แต่รังสีเอกซ์เหล่านี้ไม่เป็นอันตรายต่อคนเรา เพราะรังสีเหล่านั้นถูกดูดกลืนโดยชั้นบรรยากาศชั้นล่างๆ
นาซาอธิบายว่า วัตถุในห้วงอวกาศหลายอย่างปลดปล่อยรังสีเอกซ์ และดาวหลายๆ ดวงเป็นดาวที่อยู่ในระบบดาวคู่ (binary star system) ซึ่งหมายความว่าดาว 2 ดวงโคจรรอบกัน เมื่อดาวดวงหนึ่งของระบบดาวคู่นี้เป็นหลุมดำหรือดาวนิวตรอน จะดึงดูดสสารจากดาวปกติออกมา สสารที่ถุกดึงออกมานี้จะหมุนเกลียวเข้าสู่หลุมดำหรือดาวนิวตรอนและร้อนขึ้น เรื่อยๆ จนมีอุณหภูมิสูงมาก เมื่ออะไรก็ตามที่ถูกให้ความร้อนจนมีอุณหภูมิสูงเกินองศาเซลเซียส สิ่งนั้นจะปลดปล่อยรังสีเอกซ์ออกมา
นอกจากนี้ นาซายังระบุว่า ดาวเทียมโรแซท (ROSAT) หรือดาวเทียมเรินท์เกน (Roentgen Satellite) ซึ่งเป็นดาวเทียมที่บันทึกข้อมูลในย่านรังสีเอกซ์ สามารถบันทึกภาพการปลดปล่อยรังสีเอกซ์ของดาวหางไฮยากุตาเกะ (Hyakutake) ได้ นอกจากนี้ในการศึกษาเศษซากซูเปอร์โนวาโดยใช้รังสีเอกซ์ควบคู่กับแสงที่ตามอง เห็นและคลื่นวิทยุยังให้รายละเอียดของภาพที่มากขึ้นด้วย.
ภาพดาวหางไฮยากุตาเกะในย่านรังสีเอกซ์ บันทึกโดยกล้องโรแซท (NASA)
ภาพโลกที่ถูกบันทึกในย่านรังสีเอกซ์ครั้งแรก
เผยให้เห็นการปลดปล่อยรังสีเอกซ์ในชั้นบรรยากาศ (Polar, PIXIE, NASA)
ภาพเปรียบเทียบเศษซากซูเปอร์โนวาที่ระเบิดใกล้ๆ เมฆแมกเจลแลนเล็ก (Small
Magellanic Cloud)
โดยภาพซ้ายเป็นภาพที่ผสมผสานการบันทึกข้อมุลในย่านรังสีเอกซ์
แสงที่ตามองเห็นและคลื่นวิทยุ
ส่วนภาพขวาเป็นเศษซากเดียวกันที่บันทึกเฉพาะในย่านรังสีเอกซ์เท่านั้น
(NASA)
ภาพเอ็กซเรย์ช่องท้องของเด็กหญิงอายุ 1 ขวบที่กลืนบางอย่างลงไป (NASA)
โปสการ์ดภาพเอ็กซ์เรย์ชิ้นแรกของโลก ซึ่งถ่ายมือของภรรยาเรินท์เกน
ผู้ค้นพบรังสีเอ็กซ์ (NASA)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ป้ายกำกับ:
วิทยาศาสตร์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น